After I started to run
Summary
ต่อเนื่องจากบล็อกที่ผ่านมา เรื่องไปเท่ียวเยอรมนี กลับกลายเป็นว่าไม่ได้บันทึกอะไรเพิ่มเติมเลย เพราะมีอะไรที่ต้องทำหลายเรื่องเหลือเกิน ทั้งเรื่องการ และที่สำคัญการสังสรรค์ และการพบปะผู้คน ที่บางครั้งกว่าจะกลับที่พักก็ปาเข้าไปตีสองตีสาม อีกวันก็ต้องไปเที่ยวอีกเป็นต้น
แต่ยังมีเรื่องราวประทับใจหลายเรื่องตอนที่อยู่เยอรมนี โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องจดจำไปจนวันตายไม่มีทางลืมคือเรื่องของการได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาสของลีกสูงสุดของเยอรมนี Bundesliga นั่นเอง เอาไว้อ่านในบันทึกย้อนหลังแล้วกันครับ
บล็อกของวันนี้
กลับมาที่บล็อกของวันนี้ตามหัวเรื่องครับ After I started running. ความหมายก็ตรงตัวครับ เพราะจะพูดถึงเรื่องราวหลังจากที่ผมวิ่งเป็นจริงเป็นจังว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ก่อนจะไปถึงตรงนั้น หากต้องการอ่านบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวกับการวิ่งของผมสามารถเข้าไปอ่านที่อีกบล็อกหนึ่ง whorun.wordpress.com ครับตรงนั้นจะเป็นเรื่องราวทั้งหมดที่ผมบันทึกเกี่ยวกับการวิ่งของผม
ที่จริงเรื่องที่บันทึกวันนี้ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการวิ่งเช่นกันครับ แต่ต้องการจะบันทึกเก็บเอาไว้ในเรื่องราวทั่วไปของตัวเองบ้างครับ
เรื่มเมื่อ 4 เดือนที่ก่อน (กันยายน 2558)
ตอนนั้นยังไม่ได้วิ่งเลยมีแต่พี่กตที่วิ่งประจำอยู่แล้ว ก็เห็นแกไปวิ่งในหลายๆงานเป็นประจำ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากครับ แต่พอคิดขึ้นได้ว่าเดือนหน้าจะมีแข่งฟุตบอลประจำตำบลที่หมู่บ้าน คงต้องหาวิธีการเรียกความฟิตกลับมาก่อนแข่งสักหน่อย ทางเลือกที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นการวิ่ง
ก็เริ่มวิ่งธรรมดาๆ หารองเท้าเก่าๆที่มี หาแอพดีๆ มาไว้ดูระยะทางการวิ่งสักหน่อย เมื่อก่อนเคยใช้ Endomondo คิดว่ามันตกรุ่นเลยไปหา Strava มาใช้ดูเพราะเห็นพี่ๆ เขาใช้หลายคนอยู่นะ
เริ่มวิ่งครั้งแรกก็วิ่งๆเดินเพราะเรายังไม่เข้าหลักการอะไรมากมาย วิ่งไปหยุดไป เหนื่อยก็พัก ไม่รักก็พอ เอ้ยไม่ใช่ วิ่งๆ หยุดๆ อยู่อย่างนั้นักประมาณ 3 กิโลเมตรแล้วก็หยุด ตอนนี้ใช้ใช้ Strava แต่เอาไว้ดูระยะทางส่วนอื่นไม่เคยสนใจเลย
เปลี่ยนรองเท้า
หลังจากเริ่มวิ่งสองสามครั้ง หลังจากแขางฟุตบอลเสร็จก็เริ่มติดใจเอ๊ะ เราควรเปลี่ยนเปลี่ยนรองเท้าแล้วนะ เพราะเริ่มรู้สึกถึงอาการบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าหลังจากเริ่มวิ่งในระยะทางที่เร็วขึ้น ดูบันทึกในเรื่องของ New Balance 890 v5 ว่าใช้รองเท้าอะไรมีความเป็นมายังไง พอได้รองเท้าแล้วใส่วิ่งก็เริ่มติดใจมากขึ้น เพราะหลังจากได้ได้รองเท้าทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจริงๆ นี่แหละที่เขาบอกว่าได้รองเท้าดียิ่งวิ่งได้ดีกว่าเดิม แต่หนักเรื่องราคานิดนึง
เริ่มดูระยะทาง และเวลาในการวิ่ง
พอเราใช้ Strava ในการดูระยะทางของเรา ก็เริ่มที่จะดูรายละเอียดต่างๆ ภายในแอพมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องของเวลาที่ใช้ไปต่อระยะทาง หรือบางคนเรียกง่ายว่า “Pace” ยิ่งเพจต่ำเท่าไหร่แสดงว่าวิ่งได้เร็วเท่านั้น จากนั้นก็เริ่มพัฒนาตัวเองขึ้นพยายามทำเวลาให้ดีกว่าเดิม เริ่มวิ่งมากขึ้น หาเวลาวิ่งเยอะขึ้น ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกเพื่อหาเวลาในการวิ่งให้เยอะขึ้น เพราะมีเรื่องของมาเวลามาคอยกำหนดตัวเอง ยิ่งได้เห็นระยะเวลาการวิ่งของคนอื่นๆ ยิ่งทำให้เรามีความตั้งใจว่าจะต้องวิ่งแบบนั้นให้ได้
มินิมาราธอนแรก
หลังจากวิ่งมาประมาณหนึ่งเดือนก็ถึงเวลาสักทีกับการลงสนามจริงสักครั้ง เลือกการแข่งขันที่น่านไปกับพี่ๆ ที่ทำงาน กระซิบรับคูโบต้า น่าน มาราธอน สนามแรกที่จะลองทำการแข่งจริงกับนักวิ่งคนอื่นดูบ้าง มีความกังวลอะไรมากมายเกิดขึ้นที่สนามแห่งนี้ ทั้งเรื่องอาการของไขข้ออักเสบซึ่งเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่พอได้ลงแข่งจริงกลับสนุกและเริ่มรู้สึกหลงไหลในการแข่งมากขึ้น
วิ่งสนามนี้เป็นสิ่งดีเพราะได้มีโอกาสรู้จักกับนักวิ่งหลายๆ คนที่มีประสบการณ์ เริ่มเป็นสังคมแห่งการวิ่งมากยิ่งขึ้น น้ำใจต่างๆ บรรยากาศการแข่งขัน ทุกอย่างล้วนเป็นความทรงจำ และประสบการณ์ที่ดี แรงบันดาลใจหลายๆ อย่างเกิดขึ้นที่นั่น
ทุกครั้งที่โฆษกสนามประกาศรายชื่อนักวิ่งมาราธอน (42km) ที่กำลังวิ่งเข้าเส้นชัยยิ่งมีความรู้สึกว่า สักวันหนึ่งเราจะต้องวิ่งระยะแบบนั้นให้ได้ โดยเฉพาะเวลาเห็นคนสูงอายุวิ่งด้วยแล้ว ใจยิ่งฮึกเหิมเข้าไปใหญ่
อาหาร และการซ้อม
หลังจากผ่านสนามแรกกลับมา ด้วยความฮึกเหิมพร้อมกับอาการเจ็บหัวเข่าแต่ก็กัดฟันสู้เพื่อเราจะได้วิ่ง ก็เริ่มมาศึกษาเรื่องของอาหารที่นักวิ่งกินก่อนแข่ง หรือก่อนซ้อม การดูแลตัวเองเพื่อก้าวไปสู่มาราธอน จากนั้นก็เริ่มหาเวลาซ้อมไปเรื่อยๆ โดยตัดกิจกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์ออกไปเพื่อให้ตัวเองมีเวลาสำหรับการวิ่งมากขึ้น เลือกรับประทานอาหารต่างๆ เพื่อทำให้ร่างกายตัวเองทนต่อสภาพการวิ่งระยะไกล
ลงแข่งมากขึ้น
เพื่อประสบการณ์ และสังคมแห่งการวิ่ง เริ่มหาสนามแข่งมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามหาเวลาเพื่อที่จะลงแข่งรายการต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น นกขมิ้นมินิมาราธอน, แมคคอร์มิกมินิมาราธอน, Signha Opstacle Run รวมไปถึงรายการเล็กๆต่างๆ ซึ่งจะเห็นว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่มินิมาราธอน แล้วเราจะไม่ลงแข่งรายการที่มีระยะไกลกว่านี้อีกแล้วเหรอ?
เพิ่มระยะการลงแข่ง
พอมาถึงจุดๆ หนึ่งเลยมองว่าเราต้องเพิ่มระยะทางขอเราเองแล้วล่ะ เลยพยายามหารายการที่วิ่งได้ไกลกว่าเดิมแต่ก็จะเผื่อเวลาซ้อมไว้ด้วยพร้อมกับต้องเป้าหมายเรื่องเวลาเอาไว้ด้วยเลย รายการที่มองไว้คือ CMU Marathon รายการนี้กะจะให้เป็น Half Marathon รายการแรกของผมเอง แต่ก็พลาดเรื่องการสมัคร (อ่านบันทึกเรื่อง My First 20 km) จนในที่สุดก็ได้ BIB งานนี้มาจนได้ แต่เรื่องราวกลับพลิก เมื่อกลับกลายเป็นว่าอยากลง Full Marathon 42km
เพิ่มระยะการซ้อมเพื่อ 42km แรก
หลังจากตัดสินใจลงมาราธอนที่นี้ก็มาว่าถึงเรื่องของการเตรียมตัวกันบ้าง งานนี้มีเวลาเตรียมตัวแค่ 2 อาทิตย์แค่นั้นเองซึ่งไม่เพียงพอต่อการซ้อมแน่นอนเพราะเราเคยวิ่งไว้ไกลสุดแค่ 11km ก็เลยเป็นการวัดใจ ดูว่าจะทำได้หรือไม่ เลยตั้งเป้าเอาไว้ว่า อาทิตย์แรกวิ่ง 20km ให้ได้ และสี่วันก่อนแข่งต้องแตะ 30km ให้ได้ด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นคือการพัก ฟื้นฟูกล้ามเนื้อเพื่อวันแข่ง อาทิตย์แรกทำ 20km ได้แล้วเหลืออีก 30km ต้องมาดูกัน
อัพเกรดชุดวิ่ง
นอกจากรองเท้าแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเสื้อ และกางเกง ชุดวิ่งที่ดีต้องป้องกัน หรือบรรเทาอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะวิ่ง อันนี้ต้องคำนึงเป็นพิเศษเพื่อจะได้ไม่เจ็บในขณะวิ่ง ผมซื้อเสื้อของ Newbalance มาหนึ่งตัว เลือกสีที่สะท้องแสงดีๆหน่อยเพราะเวลาวิ่งกลางคืนจะได้มองเห็นง่ายแบบแห้งเร็วและเบาครับ ตัวนี้ซับเหงื่อดีมาก
กางเกงวิ่งผมมีสองตัว แบบรัดรูป และแบบขาสั้น แบบขาสั้นผมใช้ของ Adidas ใส่มาตลอดเหมือนกัน เบาสบาย แห้งเร็วดีครับ ส่วนกางเกงรัดรูปขายาวผมใช้กางกางของ CW-X ครับ เพื่อกระชับกล้ามเนื้อขาป้องกันตะคริว อาการเกร็งกล้าเนื้อ รวมไปถึงอาการกล้าเนื้อสะบัดด้วย ใช้วิ่งในระยะไกลจะรัดกล้ามเนื้อ กระชับ ทำให้กล้ามเนื่อล้าช้าลง
สิ่งที่ได้ตั้งแต่เริ่มวิ่ง
ทั้งหมดที่กล่าวมาเกิดขึ้นหลังจากการวิ่งครั้งแรกของผม สิ่งที่หายไปคือเวลาสังสรรค์ และเวลาที่เปล่าประโยชน์ ทำให้เราใช้เวลาที่มีอยู่มีประโยชน์มากขึ้น รวมไปถึงเรื่องของการดื่มด้วยลดลงไปได้เยอะเลยทีเดียว สรุปได้สุขภาพล้วนๆ
มาลุ้นกันว่าจะไปมาราธอนแรกสำเร็จหรือไม่!!!
Comments